Saturday, September 4, 2010

ลึกลึกแล้ว-ไพวรินทร์ ขาวงาม



ลึกลึกแล้วเธอเศร้า
ยังเก็บงำความเหงาไว้เงียบสงบ
แต่วงแก้วแห่งแววตาคราฉันพบ
ลำแสงเศร้าในเงาพลบก็ส่องเธอ

ลึกลึกแล้วเธอร้องไห้
ซ่อนรอยยิ้มพิมพ์ในใบหน้าเสนอ
หนึ่งธารน้ำซึ่งใจเธอค้นเจอ
คือธารน้อยนิ่งเอ่อในห้วงใจ

ลึกลึกแล้วเธอขลาด
ด้วยฉายแววเผลอหวาดระแวงไหว
แม้ประตูถูกปิดมิดชิดไว้
เสียงลี้ลับภายในก็กังวาน

ลึกลึกแล้วเธออ่อนแอ
หากไม่พร้อมยอมแพ้ในทางผ่าน
ยังหยัดเงียบเรียบง่ายในการงาน
ยังสะสมแก่นสาร เดินทางไกล

ฉันอาจผิดที่คิดว่า
จะเก็บดวงดาริกาให้เธอได้
จะซับหยาดน้ำเศร้า จะเข้าใจ
จะปลูกมวลดอกไม้ในสวนมวล

จะอยู่แกร่งแข็งกว่าหินผาอยู่
จะฉ่ำพรมกว่าลมรู้ฤดูหวน
จะมั่นคงในค่าที่ว่าควร
จะเป็นหนึ่งในจำนวนมิอาจนับ

อนิจจา ชีวีที่เคลื่อนไหว
สิ่งที่จับต้องได้ก็แตกดับ
สิ่งที่เป็นเพียงฝันก็ล่องลับ
สะดุ้งตื่นขึ้นจากหลับด้วยฝันร้าย

ฉันรู้สึกผิดบาป สารภาพว่า
ฉันเผลอให้ดาริกานั้นตกหาย
ฉันเฉยเมย ละเลยน้ำตา ที่หยาดพราย
และอับจนถึงต้องขายดอกไม้ไป

เป็นหินผาที่เศร้าโศก
เป็นสายลมห่มโลกที่ป่วยไข้
มีคุณค่าสักธุลีก็ลี้ไกล
มีนิ่มเนื้อก็ซ่อนในเกราะกำบัง

เกราะกำบัง ฉันสร้างจากความขลาด
ยอมให้เหล็กแข็งคาดนั้นกักขัง
เพื่อปลอดภัยในกำแพงแห่งความชัง
และเสรีในรวงรังเฉพาะตน

ฟังสิ ความเงียบใคร
เปลี่ยวชำแรกแทรกไปในทุกหน
อึกทึกกึกก้องทั้งมณฑล
สะท้อนใจไหวเสียจนระทึกใจ

ถ้าเธอถามฉันว่า
จะเก็บดวงดาริกามาอีกไหม
คงต้องตอบเธอว่า – ฟ้านั้นไกล
ฉันมิเคยก้าวไปพ้นตัวเอง

ลึกลึกแล้ว ฉันรู้สึก
ว่าชีวิตลึกลึกถูกข่มเหง
จะวุ่นวาย อ้างว้าง จะวังเวง
จะขับเพลงสักเพลงยังผิดใจ

ฟังสิ นี่คำสารภาพ
ผิดทุกผิด บาปทุกบาป หรืออาจไถ่
แอบฝันตามแววตาเธอคราใด
ฉันก็แล้งเกินไป จะลึกซึ้งฯ

ไพวรินทร์ ขาวงาม แต่ง ๒๕๓๐ รวมเล่ม ฤดีกาล ๒๕๓๒

Tuesday, July 27, 2010

อีกครั้งกับ ผ่านพบไม่ผูกพัน (เสกสรรค์ ประเสริฐกุล

...อันใดเล่าที่ควรเข้ามาแทนที่ความกลัวเพื่อเราจะได้มีพลังขับเคลื่อนความคิดไปในทางบวกมากขึ้น
ทั้งสร้างสรรค์และสงบสุขมากขึ้น คำตอบที่ตรงที่สุดคือความกล้า
อย่างไรก็ตาม ความกล้าหาญทางจิตวิญญาณนั้นต่างจากความกล้าในความหมายสามัญ คือ
มิได้มีไว้สู้รบกับผู้ใด หากหมายถึง การเปิดกว้าง ต้อนรับทุกเหตุการณ์ผ่านเข้ามาในชีวิตอย่างไม่สะทกสะท้าน
จากนั้น ค้นหาจุดลงตัวในการสัมผัสสัมพันธ์กับมัน
สิ่งตรงข้ามกับความกลัวอีกอย่างหนึ่งคือ ความรัก
ทั้งนี้เพราะความรักในระดับจิตวิญญาณที่ปราศจากขอบเขตและเงื่อนไขจะบังเกิดได้
ก็ต่อเมื่อเราเอาชนะความต้องการและความคาดหวังแบบคับแคบเสียก่อน
ความรักในความหมายนี้ นับเป็นพลังงานที่ทรงอานุภาพอย่างยิ่ง
ทำให้เกิดพลังสร้างสรรค์และการมองโลกเชิงบวกได้ต่อเนื่อง....

...ผ่านพบโดยไม่ผูกพัน บางที อาจลึกซึ้งยั่งยืนกว่าร้อยหัวใจเข้ากับทุกอย่าง
ด้วยโซ่ตรวนที่มักตั้งชื่อผิดๆ ว่า " ความรัก "....

..บางที เราอาจเดินทางเพื่อหาที่ทิ้งขยะในหัวใจ...

...บางท่าน แต่งผิวนอกไว้แกร่งกร้าน เนื่องเพราะเนื้อในแน่นคับเกินกว่าจะมีพื้นที่ให้ผู้อื่น
บางคน เย็นชาแข็งกระด้าง เพราะรู้ดีว่า หัวใจของตนอ่อนนุ่มเกินกว่าจะเปิดเผย...

...ยามหมอกฝนโปรยปรายใส่หินผา ท่านอาจร่วมร้องไห้กับผาหิน...

...บางครั้ง เราเต็มใจเป็นสะพานให้ใครบางคนก้าวข้าม
แต่ห้วงยามแห่งการเสียสละกับห้วงยามแห่งการพลัดพราก ก็มักจะเกิดขึ้นพร้อมกัน
ทั้งนี้ เพราะสะพานย่อมมิใช่ที่อยู่ถาวรของผู้ใด...

...คนเราเกิดมาในโลก แท้จริงแล้วจะมีเพื่อนร่วมทางสักกี่คน
ส่วนใหญ่ที่สุดก็เป็นเพียงคนข้างทางของกันและกัน...

...คนข้างทางในชีวิตเราไม่ได้ปรากฏตัวอย่างไร้เหตุผลเสมอไป
ผู้แปลกหน้าเหล่านี้ อาจจะมาพร้อมกับข่าวสารบางอย่าง
ที่ช่วยเติมเต็มความรับรู้หรือกระตุ้นสำนึกดีๆ ที่หายไปให้กลับคืน
หากเรารู้จักอ่านความหมายของการพบกัน...

...เนื่องเพราะในยามที่อ่อนแอและอยากถูกรัก
ผู้คนอาจสับสนได้ระหว่างความรักที่คิดมอบให้ผู้อื่นกับความรักทีมีต่อตัวเอง...

...ถ้าเราอยากรู้จักผู้ใดอย่างแท้จริงสักคน
จงดูเส้นทางที่เขาเลือกและวิถีปฏิบัติของเขาขณะอยู่บนเส้นทาง
แต่ไม่ควรใส่ใจดูว่า เขาไปถึงปลายทางหรือไม่...

Monday, March 8, 2010

อหังการของดอกไม้

แด่ สตรีทุกผู้นามในวันสตรีสากล
สตรีมีสองมือ

มั่นยึดถือในแก่นสาร

เกลียวเอ็นจักเป็นงาน

มิใช่ร่านหลงแพรพรรณ


สตรีมีสองตีน

ไว้ป่ายปีนความใฝ่ฝัน

ยืนหยัดอยู่ร่วมกัน

มิหมายมั่นกินแรงใคร


สตรีมีดวงตา

เพื่อเสาะหาชีวิตใหม่

มองโลกอย่างกว้างไกล

มิใช่คอยชม้อยชวน


สตรีมีดวงใจ

เป็นดวงไฟไม่ผันผวน

สร้างสมพลังมวล

ด้วยเธอล้วนก็คือคน


สตรีมีชีวิต

ล้างรอยผิดด้วยเหตุผล

คุณค่าเสรีชน

มิใช่ปรนกามารมณ์


ดอกไม้มีหนามแหลม

มิใช่แย้มคอยคนชม

บานไว้เพื่อสะสม

ความอุดมแห่งผืนดิน !

ประชาธิปไตย
4 พฤศจิกายน 2516

จิระนันท์ พิตรปรีชา

Wednesday, February 24, 2010

ร ะ ห ว่ า ง ท า ง ผ่ า น

   ถึงอย่างไร คนเราก็ต้องมีเวลาสำหรับทำธุระส่วนตัวเล็กๆน้อยๆกันบ้าง
เขาคิด  ขณะสองมือกุมพวงมาลัยเกร็งกระชับซึมเหงื่อ  เพ่งสายตาเครียดเกร็ง
ไปตามแนวถนนเรียบโล่งที่มีไอแดดเช้าอุ่นอวล  สลับกับเหลือบมองดูป้าย
ตลอดริมรายทาง
            มันจะเสียเวลาไปสักเท่าไหร่กันเชียว  เขาพึมพำราวจะปรารภกับตัวเอง
เพื่อนฝูงที่สู้อุตส่าห์คบหากันนานปี  หากจะมาถือสาหาความเอากับการ
ที่เขาปล่อยให้นั่งจิบเบียร์เย็นๆริมชายหาดแถวๆนั้นรอเขาช้ากว่านัดไปไม่กี่นาที 
.
ก็ให้มันรู้ไป..  

เขานึกปลอบใจตัวเอง เผลอปริยิ้ม ก่อนจะรีบสาวพวงมาลัย  เลี้ยวรถ
เข้าไปภายในสถานีบริการน้ำมันขนาดกลาง แต่ตกแต่งแลดูทันสมัย  
ก่อนจะถึงตัวเมืองชายทะเลปลายทางนัดหมายเพียงไม่กี่กิโลเมตรอย่างกะทันหัน
โดยเกือบลืมเปิดไฟเลี้ยวให้สัญญาณรถคันหลังไปเสียสนิท ด้วยอารามลิงโลด
ที่จะได้ปลอดปล่อยความทุกข์กังวลที่ถมทับเต็มท้นมาตลอดทาง  นับตั้งแต่
เริ่มหลุดพ้นออกจากประตูรั้วบ้านมาได้ไม่นานนั้นแล้ว
.           
            และไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่า  รถเก๋งสีดำเลขทะเบียนสวยคันที่ขับจี้
ตามมาอย่างกระชันชิดนั้น  ได้เร่งเครื่องตีคู่ตามมา กระทั่งทันได้จอดเทียบ
อยู่ข้างๆรถยนต์อเนกประสงค์กลางเก่ากลางใหม่คันโปรดของเขานั่นเอง
            ในขณะที่เร่งเดินตัวปลิวเข้าไปจับจองห้องน้ำว่างๆ  ที่มีเหลืออยู่
เพียงไม่กี่ห้อง  เขาพยายามครุ่นคิดถึงรายละเอียดของอาหารมื้อเย็นวาน
ที่เขารับประทานเข้าไป  ว่ามีส่วนประกอบใดบ้างที่ทำให้เขาต้องมาเสียเวลา
ไปกับเรื่องไม่เข้าท่าอย่างในขณะนี้  แทนที่จะได้นั่งเคาะนิ้วฟังเพลงปูอารมณ์
ในระหว่างบึ่งทะยานไปให้ทันเวลา  ตามที่ได้ตกลงนัดหมายกันไว้ล่วงหน้า
อย่างชัดเจน

คงจะไม่ใช่พล่ากุ้งหรอก  เขาคิด  ท่าจะเป็นปลาหมึกนึ่งมะนาวนั่น
แหละมากกว่า  แต่ช่างเถอะ, ในเมื่อทุกอย่างมันก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี 
จนถึงเพียงนี้แล้ว แม้ว่าก่อนหน้านี้  จะชวนให้ใจหายใจคว่ำไปบ้างก็ตามที 
ถือเสียว่าเป็นสีสันของการเดินทางเอาไว้คุยอำกันขำๆเล่นไปก็แล้วกัน 
.           
            เขาไม่ลืมสำรวจใบหน้าของตัวเอง  ที่ดูผ่อนคลายลงในกระจกเงา
เหนืออ่างล้างหน้า  ขณะคลับคล้ายว่า  มีใครสักคนยืนจ้องรอคิวอยู่ใกล้ๆ
โดยไม่ยอมไปใช้อ่างล้างหน้าชุดอื่นที่พอมีเหลือว่างอยู่ เขาจึงไม่นึกอยากหัน
ไปใส่ใจ  จนใครคนนั้นเป็นฝ่ายก้าวปึงๆผละจากไปเสียเอง
กลิ่นกาแฟสดหอมกรุ่นโชยมา อากาศในเช้านี้ช่างอบอุ่นดีเหลือเกิน 
เขาบอกกับตัวเอง ก่อนจะเดินผิวปากเลาะสวนหย่อมเล็กๆกลับมายังลานจอดรถ

รถเก๋งสีดำคันนั้นจากไปก่อนแล้ว  คงเหลือแต่รถของเขาและรถคันอื่นๆ
เพียงไม่กี่คันจอดอยู่ในบริเวณเดียวกัน  อาจจะยังเช้าไป เขาคิด  ขณะเดินมา
เปิดประตูรถ
            แต่แล้วเขากลับชะงักงัน  ทันทีที่หันไปเห็นรอยขูดขีดเป็นร่องลึก
อย่างจงใจ  จนเปิดสีเคลือบผิวที่เขาเฝ้าทะนุถนอมขัดถูให้แลดูสะอาดเอี่ยม
เป็นมันวาวอยู่เสมอ  กลับเผยให้เห็นถึงชั้นเนื้อโลหะสีเทาซีดจนน่าเกลียด
เป็นทางยาวตั้งแต่ขอบประตูด้านหน้าไปจนเกือบสุดประตูด้านหลัง
.
            เขาเผลอเอื้อมไปลูบเบาๆ  รู้สึกน้ำตาซึม  เหมือนขณะลูบรอยแผล
เปิดกว้างจากน้ำมือของคู่ปรับ  ที่ทิ้งไว้บนเนื้อตัวแขนขาของเขาเอง
ก่อนจะรีบกระโดดขึ้นรถ  ปิดประตูโครม  แล้วกระชากรถคู่กาย  ห้อตะบึง
ติดตามรถเก๋งสีดำคันนั้นไปอย่างบ้าคลั่ง

เมื่อกลับขึ้นมาอยู่บนทางหลวงแผ่นดินอีกครั้ง  เขาพยายามประคอง
พวงมาลัยไว้ด้วยมือซ้ายอันสั่นระริกและซึมเหงื่อ  ขณะมืออีกข้างเอื้อมไปเปิด
ฝากระติกน้ำแข็งใบย่อมที่เขาติดรถมาด้วยเสมอ  เขาควานลงไปคว้าอาวุธปืน
พกสั้นขนาด 11 ม.ม.ที่ซุกอยู่ก้นกระติกออกมากุมมั่นไว้ในมือ  สัมผัสได้ถึง
ความเยียบเย็นของเนื้อโลหะมันวาว  ขณะสอดส่ายจับจ้องมองหาเป้าหมาย
เบื้องหน้าอย่างกระเหี้ยนกระหือรือและไม่วางตา
.
            แค่เสียเวลารอเขาทำธุระส่วนตัวเล็กๆน้อยๆต่ออีกไม่กี่ปีในคุกแถวๆนี้
ลูกผู้ชายที่ร่วมหัวจมท้ายกันมาตั้งแต่นมยังไม่แตกพาน คงไม่นับว่านาน
จนเกินรอหรอกนา  เขางึมงำปลอบโยนตัวเองด้วยน้ำเสียงเครียดเคร่ง 
.
รู้สึกถึงกลิ่นอายของชายฝั่งทะเลแผ่วจางและห่างไกลออกไปในทุกขณะ..

Source : http://www.oknation.net/blog/cottonhut/2010/01/17/entry-1




Thursday, February 18, 2010

เมื่อต่างเราตื่นลืมตา - Thai Poem

ต่างเราเมื่อตื่นลืมตา
ลุกขึ้นหยิบคว้า
หาเสียงอีกฝั่งปลายสาย
ได้ยินชัดแผ่ว-แว่วกลาย
รักเรามากมาย
เช่นกันที่ฉันรักเธอ
กระซิบอีกครั้งยังเผลอ
ยิ้มฝันละเมอ
ละไมอิ่มแต้มแง้มรัก

เธอบอกวางใจใส่ตัก
เปลนอนผ่อนพัก
เราจักเกี่ยวก้อยสู่รุ้ง
เจ็ดสีตะวันรางรุง
สองมือจับจูง
สุขนักหวานถักรักทอ

เช้าตื่นต้นไม้หน้าบ้าน
ยิ้มงามสลอ
เข็มแดง บิโกเนียบานรอ
โมกรักออกช่อ
ชะลิ่วสูงเย้ยแดดวัน

.
.
.

วันแห่งรักที่เรามิเจอกันเช่นทุกอาทิตย์สุขสันต์
ทว่ารู้สึกแห่งใจนั้น - อิ่มเต็ม .


ขอบคุณ : http://www.oknation.net/blog/weed/2010/02/14/entry-1/comment#read

Tuesday, February 16, 2010

พยายามต่อไปหรือตัดใจดี

ความรัก
มักทำให้เรามีความพยายามอย่างมากมาย
ในการเอาชนะใจใครบางคนให้จงได้
แต่คนบางคนก็ใจแข็งเสียจนทำให้ความพยายามของเรา
ต้องเดินย่ำอยู่ในวังวนแห่งความท้อแท้
บางครั้งบางที ความรักก็พาเรามายืนอยู่ตรงกลาง
ระหว่างทางเลือก 2 ทาง ที่ไม่อาจเลือกทางใดได้
เพราะไม่ว่าจะพยายามต่อไปหรือตัดใจลง
ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ยากต่อการตัดสินใจแทบทั้งนั้น

กับสถานการณ์แบบนี้
เราควรทำอย่างไร
พยายามต่อไปหรือว่าจะตัดใจดี

สำหรับความพยายาม
ในการเอาชนะใจคนใจแข็งที่เราหลงรัก
ก็คงไม่ต่างอะไรไปจาก
การเขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่ง
เมื่อได้ลงมือเขียนแล้ว
อย่าเพิ่งละทิ้งกลางคัน
พยายามเขียนต่อไปให้จบ
ส่วนตอนจบของหนังสือเล่มที่ว่านี้
จะถูกใจคนอ่านคนนั้นหรือไม่

-อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่เราต้องยอมรับมัน-
เท่านั้นเอง

จริงอยู่
ถ้าความพยายามทำให้เราต้องพบกับความผิดหวัง
วันเวลามากมายที่ได้ทุ่มเทลงไปอาจทำให้เรารู้สึกมากกว่า เสียใจ
แต่ว่า
ในเรื่องเดียวกัน
มักมีความเสียใจอยู่ 2 อย่างที่แตกต่างกันเกิดขึ้นเสมอ คือ
หนึ่ง ....ความเสียใจ
ที่เกิดจากการได้ลองพยายามจนถึงที่สุดแล้ว
แต่ต้องพบกับความผิดหวัง

และสอง ความเสียใจ
ที่เกิดจากการไม่ได้ลองพยายามจนถึงที่สุด

และในความต่าง 2 อย่างนี้
มีความเสียใจอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ที่มันจะ ตกค้าง อยู่ภายในหัวใจเราไปตลอดชีวิต

นายแทน

เลือกเรื่องราวบางเรื่อง จากหนังสือ "รักแท้ไม่เท่าเข้าใจ" ของนายแทน (คนกันเอ๊ง กันเอง)
มาอัพบล็อก ในวันวาเลนไทม์นี้
แม้จะยืนยันยังไม่ได้ว่า จริงๆแล้ว คนเราแสวงหา
รักแท้ หรือแสวงหา ความเข้าใจกันแน่

คนเรามีหัวใจ
แต่คงไม่ทุกคนที่จะรู้ว่ามันทำงานอย่างไร
คนเรามีความรัก
แต่ใช่ว่าทุกคนจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของมัน

หากใครยังไม่ได้เป็นเจ้าของหนังสือเล่มนี้
รีบจับจองเป็นเจ้าของได้แล้วนะคะ
พิมพ์ ครั้งที่ 7 แล้ว
และ ขึ้นอันดับ 1 Bestseller ของ Se-ed เชียวนา

คลิก

ให้ไว ให้ไว .....

มีความสุขในวันวาเลนไทม์ นะคะ

ปล. ภาพจากอินเตอร์เน็ต

Tuesday, February 2, 2010

ถนนคนเดินทาง พิบูลศักดิ์ ละครพล - ขุนเขาแห่งความทรงจำสีขาว - Thai Poem

พิบูลศักดิ์  ละครพล...เรื่อง
ได้รับความเอื้อเฟื้อจากอนุสาร อ.ส.ท.
ที่มา : อนุสาร อ.ส.ท. ปีที่ 38  ฉบับที่  7  กุมภาพันธ์  2541
อ่านหนังสือหมดโลก
     เดินทางหมื่นล้านไมล์
     คงไร้ความหมาย
     หากไม่เข้าใจหัวใจตัวเอง
1. เขานิ่งงันอยู่ในความเงียบ ตะวันกำลังจะรอนแสงลา รวงข้าวสุกส่งกลิ่นหอมกรุ่น อุ่นอยู่ในอากาศ ทุ่งโล่งกลางดงหุบแผ่ผืนเหลืองละลานรายรอบและลาดลิ่วไปสุดลูกหูลูกตา ฤดูเก็บเกี่ยวย่างเยือนมาพร้อมเสียงกระซิบกระซาบแห่งลมปลายหนาว ผิวแผ่ว
เขาสูดลมหายใจลึก ควันไฟจากลอมฟางลอยลำอ้อยสร้อย ขึ้นไปลอยเรี่ยเป็นแนวคล้ายยวงฝ้ายทาบเชิงภู แว่วเสียงกู่มาแต่ไกล พร้อมเสียงเด็กทารกร้องไห้ เสียงมีดรัวถี่บนเขียง เสียงเป่าเขาควายจากพ่อค้าเนื้อในหมู่บ้านก้องกังวานทั่วหุบเขา
กองเกวียนลากข้าวกำลังเคลื่อนคาราวานข้ามลำห้วย เสียงไล่ต้อนฝูงปศุสัตว์ฮุ้ยไฮ้ เสียงฝีกีบเท้ากระทบดิน เสียงฮอกที่แขวนคอโคกึงกังโกรงเกรงเป็นบทเพลงของท้องทุ่งชนบท เขาไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
นี่เป็นบทเพลงที่เขาหลงลืมไปแล้วหรือไฉน...แล้วใครล่ะที่นั่งเป่าปี่ตอซังบนหลังควายนั้นถ้ามิใช่เขา
2. โตขึ้นเธออยากเป็นอะไร...พวกผู้ใหญ่และคุณครูชอบถามนักคำถามนี้ และเขาก็ตอบอย่างมั่นอกมั่นใจทุกครั้ง ผมอยากเป็นนักเดินทางครับเออหนอ พ.ศ.นั้นเขาอยู่ชั้นอะไร ม.ศ. หนึ่ง หรือ สอง ทำไมเขาถึงตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำอย่างนั้น  ขณะที่เด็กคนอื่นเขาอยากเป็นทหาร เป็นตำรวจ เป็นครู เป็นหมอ เป็นพ่อค้า แต่เขาไพล่อยากเป็นอะไรที่ผิดมนุษย์มนา มันเป็นอย่างไรกันหนอ นักเดินทางเดินทางเร่ร่อนพเนจรไปเรื่อย ๆ งั้นหรือ เอาข้าวที่ไหนกิน เอาเงินที่ไหนใช้ ไม่มีเงินเดือนสักกะหน่อย เด็กบ้านนอกคนหนึ่งอยากเป็นนักเดินทาง ใครเสี้ยมใครสอนเขาหนอ แม้กระทั่งครูให้เขียนเรียงความ หมู่บ้านของฉันเขาก็ดันไปเขียนเรื่อง  “การเดินทางข้ามภูเขายาวหลายหน้ากระดาษ ตื่นเต้นผจญภัยและเป็นตุเป็นตะเสียจนเพื่อนว่าเขาเป็นไอ้ขี้โม้โชคดีหน่อยที่คุณครูภาษาไทยซาบซึ้งใจในความมานะของเด็กน้อย ให้เขาไปยืนอ่านหน้าชั้นให้เพื่อน ๆ ฟังคุณครูบอกกับเพื่อน ๆ ของเขาว่าถ้าพวกเธออยากเป็นนักเขียน เธอต้องเป็นนักฝันก่อนเขาค้านคุณครูเสียงแข็งว่า ครูครับนี่เป็นเรื่องจริง สองวันเต็ม ๆ ที่ผมเดินข้ามภูเขา...
มันช่างน่าขำ เขายังเดียงสา หาได้รู้ความหมายที่ครูพูด ความจริงทั้งปวงทั้งหลายก็ล้วนจุดประกายมาจากความเฟื่องของนักฝัน ความฝันทำให้คนใฝ่ เริงใจให้โบยบิน เราคงไปไม่ถึงดาวอังคารได้ถ้าไม่มีคนสองคนผู้อยากบินได้อย่างนก...ป่าลึกดงดึก ไพรดิบ ไม้สูงลิบสิบคนโอบไม่อ้อม น้อมคอแหงนจนตั้งบ่าก็มองหายอดไม่เห็น หน้าหนาวหนาวเยือกเย็นจนน้ำค้างจับเกล็ดแข็ง หน้าแล้งล้วนสีเหลืองสะพรึ่บสะพรั่ง น้ำตกรึก็โถมถะถั่งหลั่งไหล กระโจนมาจากเพิงไพรชะเวิกผาสูงลิ่วหลายร้อยชั้นพันหมื่นวา นกป่า ปูปลาในลำห้วย ตัวโต น้องปลาบึกในน้ำของ อยู่บนยอดมองเห็นพญานาคพ่อนน้ำเล่นในกว๊านได้ชัดแจ่ม ผูกโยงเพิ่มนิยายไปเรื่องนั้นเรื่องนี้ ล้วนแล้วแต่ลี้ลับปรัมปรา ท้าทายให้เขาใจเต้นระทึก นึกอยากเดินทางเที่ยวท่องล่องบึงกว้างข้ามขุนเขาไปทุกครั้งที่มองเห็นทิวเทือกสีน้ำเงินที่ทอดทาบขอบฟ้าตะวันตกของหมู่บ้านเกิด
เหล่านั้นล้วนตำนานของนักฝัน คนเหล่านั้นล้วนเป็นนักเดินทางตัวยง ด้วยยานแห่งจินตนาการและรายละเอียดแห่งอารมณ์ความรู้สึก  จะมหัศจรรย์พันลึกหรือซื่อใสงดงามก็ตามแต่ ที่แน่ ๆ มันทำให้เด็กหนุ่มบ้านนอกคนหนึ่งได้ก่ายหน้าผากเคลิ้มฝัน ฝันอยากเป็นนักเดินทาง
3.  เขาเดินทางท่องไปทั่วด้วยปีกของนักฝัน จีน ทิเบต อินเดีย ออสเตรเลีย อเมริกาใต้ ตามกลิ่นอายของนักฝันที่เขาโปรด เขาลืมตัวเองไว้ที่ไหนสักแห่ง หลงทางและมะงุมมะงาหราไปในความฝันของคนอื่น
The Sun Also Rises ของเออร์เนสต์ทำให้เขาอยากไปสเปน รูปเขียนของโกยาก็ทำให้เขาคิดอย่างนั้นไหนจะแอฟริกาใต้อีกล่ะ คิลิมันจาโรและเทือกเขาเง็งแห่งเคนยา การล่าสิงโต มองมาร์ตที่ปารีส  ภาพเขียนของเซซานในพิพิธภัณฑ์ A Farewell to Arms  บ้านเกิดของปาปาที่โอ็ค พาร์ก มิชิแกน แถบถิ่นตอร์ตีญาแฟลตของสไตน์เบ็ก กระทั่งดินแดนอันเหน็บหนาวของชิวาโก และแถบถิ่นทุ่งหญ้าสเต็ปป์ในเรื่องญามิลา ฯลฯ
เดินทาง เดินทาง เขาเป็นนักเดินทาง เขากระหายที่จะเดินทาง ทุกหัวโค้งถนนดูจะกวักมือเพรียกขานชื่อเขา เขาไปทุกหนทุกแห่ง เขาบอกกับตัวเองว่า เขาเป็นนักเดินทางแสวงหา...
4. เขาแสวงหาอะไรอยู่หรือ ความงาม คุณค่า ความหมายของความเป็นมนุษย์หรือชีวิต เขาหามันพบแล้วหรือยัง
เขานิ่งงันอยู่ในความเงียบ ตะวันกำลังจะรอนแสงลา  รวงข้าวสุกส่งกลิ่นหอมกรุ่น อุ่นอยู่ในอากาศ ทุ่งโล่งกลางดงหุบแผ่ผืนเหลืองละลานรายรอบและลาดลิ่วไปสุดลูกหูลูกตา ฤดูเก็บเกี่ยวย่างมาเยือนพร้อมเสียงกระซิบกระซาบแห่งลมปลายฤดูหนาว
กองเกวียนลากข้าวกำลังเคลื่อนคาราวานข้ามลำห้วย เสียงไล่ต้อนฝูงปศุสัตว์ฮุ้ยไฮ้ เสียงฝีกีบเท้ากระทบดินกุบกับ เสียงกระดึงกระดิ่งกรุ๋งกริ๋ง เสียงฮอกโกรงกราง และเสียงครางของหัวใจตัวเอง
เขาไม่อยากเชื่อคนเราจะมีชีวิตยู่ในความฝันของคนอื่นได้อย่างไร...นี่เป็นบทเพลงที่เขาหลงลืมไปแล้วหรือ เขาหลงลืมตัวเองไว้ที่ไหน เขาผู้เดินทางมาแล้วเกือบทั่วโลก แต่หาทางกลับเข้าบ้านตัวเองไม่เจอ

ที่มา http://www.moohin.com/thailand-travel-trips/2541-02/c19/


Saturday, January 30, 2010

จดหมายรักนักฝัน - Thai Poem

ที่รัก

ฉันมาฉุกคิดได้ หลังจากคุยกับความว้าเหว่เมื่อคืนนี้
ฉันได้คำตอบว่า
ที่เราต้องเจ็บปวดเหลือ เมื่อรักลานั้น
เป็นเพราะว่า
เราพยายามลบเลือน
ความทรงจำที่ดี-ดีของคนรัก ออกไปจากใจ
หากสิ่งนั้น
ต้องการเวลาที่จะลบเลือน

สิ่งที่ความรักนำมาให้
แม้มิใช่แค่ความหอมหวาน
แต่ที่เหลือไว้
ก็หาใช่ เพียงความขมขื่น


ความรักก็เหมือนกาแฟนั่นแหละ
ทั้งที่รู้ว่าขม แต่เราก็ชื่นชมในกลิ่นหอม



ที่มา : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=masharee&group=6

Tuesday, January 26, 2010

ผ่านพบไม่ผูกพัน - Thai Poem

การเดินทางเป็นการพลัดพรากอย่างหนึ่ง
พลัดพรากจากสถานที่คุ้นเคยและผู้คนคุ้นหน้า
กระทั่งบางทีอาจหมายถึงการถอยห่างจากอ้อมแขนของผู้เป็นที่รัก

แต่ระยะทางที่เพิ่มขึ้น ใช่หรือไม่ว่าอาจเปลี่ยนมิติของความสัมพันธ์
บางครั้งการเดินทางอาจหมายถึง
การแตกหักของโซ่ทองห่วงสุดท้ายที่เคยร้อยใจคน สองคนไว้ด้วยกัน
และในหลายๆครั้ง
มันก็เป็นแค่การเปลี่ยนที่ร้องไห้ของผู้ ที่เพิ่งทำความรู้สึกดีๆหล่นหาย
แต่สำหรับบางคน เพียงเหลือบแลแผนที่เส้นทาง
ก็อาจเพิ่มรอยขีดในหัวใจที่ลายล้นอยู่แล้วด้วยริ้วแผล
คนเรา บางทีหากไม่เปลี่ยนเงื่อนไขแวดล้อม
บางด้านของความรู้สึกย่อมไม่สามารถโผล่ผลิออกมา
คนเรา หากไม่ออกไปเผชิญคลื่นลมในทะเลกว้าง
หรือสัมผัสความเฉียบชันของโตรกผา
บางทีก็พานคิดว่าดาวเดือนบนเวิ้งฟ้าจะต้องโคจรรอบชีวิตตื้นของตัวเอง
สัมผัสโลกของบุคคลก็เฉกเช่นพรมผืนงาม
มีแต่ความรู้สึกที่คลี่ตัวอย่างถึงที่สุดเท่านั้น
จึงจะม้วนกลับได้อย่างหมดจดเรียบร้อย
ประเด็นมีอยู่ว่า เหนือบรรยากาศเปลี่ยวเหงา
หรือครึกครื้นขึ้นไป
ยังมีแก่นแท้ของการเดินทาง
ซึ่งก็คือการพลัดพรากผู้อื่น สิ่งอื่น เพื่อนัดพบกับตัวเอง
การเปิดพื้นที่โล่งให้กับการอยู่กับปัจจุบัน
ยามสางเมื่อเห็นแสงแรกของวันโลมไล้คลื่นเขา
จงเป็นหนึ่งเดียวกับภาพนั้นราวทั่วทั้งพิภพไม่มีสิ่งอื่นใด
ยามสายเมื่อนอนเหยียดอยู่บนพรมหญ้าริมลำห้วย
ก็อย่าปล่อยให้ภาพรุ่งอรุณตามมาปิดบังแฉกแดดที่ผ่านลอดลงมาจากยอดไม้
ครั้นตกค่ำยินหริ่งหรีดเรไร
ก็อย่าได้ฝังใจจำอยู่กับเสียงน้ำไหลที่กล่อมให้หลับตอนกลางวัน
คุณจะพบว่า ดวงตะวันสวยกว่าเดิม
ไอห้วยเย็นฉ่ำกว่าที่คิด สายน้ำมีถ้อยคำจะเอื้อนเอ่ย
อย่าว่าแต่ ค่ำคืนมีความไพเราะของมัน

ผ่านพบโดยไม่ผูกพัน บางทีอาจลึกซึ้งยั่งยืนกว่า ร้อยหัวใจเข้ากับทุกอย่างด้วยโซ่ตรวนที่มักตั้งชื่อผิดๆว่าความรัก

ที่มา : จากหนังสือ "ผ่านพบไม่ผูกพัน" เสกสรร ประเสริฐกุล

Tuesday, January 5, 2010

คิดถึง แต่ไม่โหยหา

เมื่อความเจ็บปวดตกตะกอน
ฉันเลือกซุกตัวนิ่ง ในวิถึแห่งตน
ยากที่จะทำใจให้ลืมเลือน
เพราะเธอคือคนที่หัวใจบอกเสมอว่า "รัก"
อยากจะรู้สึก "เฉยๆ"
หากแต่ที่ทำได้
คือ "คิดถึง แต่ไม่โหยหา
ห่วงใย แต่นิ่งงัน
คล้ายห่างไกลกันลิบ
แต่ใกล้แค่ได้ เจอกันในใจ"
คงแค่นั้น สำหรับเรา และสำหรับเรา